เที่ยวเขาใหญ่

เที่ยวทั่วเชียงใหม่

เที่ยวเกาะล้าน

เที่ยวหมู่เกาะพีพี กระบี่

เที่ยวตลาดโรงเกลือ

สารคดีท่องเที่ยวเชียงราย

รู้จักโรคมะเร็งตับ

วิธีแก้ รักแร้ดำ

พอกหน้าด้วยผงพิเศษและโยเกิร์ต

ล้างหน้าหนีสิว

วิธีการดูแลผิวเบื้องต้น

การดูแลสุขภาพในวัย40

การทำพาสต้าลิงกวินีกับหมูสแปม

การทำข้าวผัดป่ากุ้ง

การทำมะระผัดไข่

การทำกุ้งอบวุ้นเส้น

การทำต้มแซบซุปเปอร์ตีนไก่

การทำต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน

การปลูกถั่วงอกในตะกร้า

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า_02

วิธีเพาะเห็ดฟางในตะกร้า

สวนเกษตรเงินล้าน

การปลูกผักในระบบอินทรีย์

วิธีปลูกผักสวนครัว

น้ำตกเหวโหลมจังหวัดชุมพร




น้ำตกเหวโหลม

น้ำตกเหวโหลม คือ อีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชุมพร โดยน้ำตกนั้นตั้งอยู่ที่บ้านบกไฟ หมู่ที่ 3 ตำบลปากทรง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าควนแม่ยายหม่อน จากหน่วยพิทักษ์เหวโหลม มีเส้นทางเดินเท้าเป็นขั้นบันไดต่อไปอีก 200 เมตร ผ่านต้นน้ำคลองพะโต๊ะถึงน้ำตกซึ่งมีน้ำตกไหลจากหน้าผาสูง 80 เมตร

      โดยน้ำตกถูกแวดล้อมด้วยพรรณไม้ป่าดงดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ รูปทรงใหญ่แปลกตาหลายชนิด จึงเหมาะแก่การเดินศึกษาธรรมชาติและดูนกนานาชนิด การเดินทาง จากอำเภอเมืองมาตามทางหลวงหมายเลข 4 ถึงสี่แยกหลังสวน แยกขวาเข้าทางหลวง 4006 (สายหลังสวน-ราชกรูด) ผ่านอำเภอพะโต๊ะ ถึง กิโลเมตรที่ 11 แยกซ้ายไปอีก 8 กิโลเมตร 

หาดลานทราย จังหวัดตราด




หาดลานทราย

หาดลานทราย คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ที่ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมือง จังหวัดตราด เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมีบรรยากาศที่เงียบสงบนักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก

      การเดินทางไปหาดลานทราย เริ่มจากแยกขวาตามเส้นทางไปคลองใหญ่ ทางหลวงหมายเลข 318 ถนนตราด-คลองใหญ่ กิโลเมตรที่ 30 แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 11 กิโลเมตร บริเวณหาดมีที่พัก


ข้อมูลโดย : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สำนักงานใหญ่)

เกาะลิดี สตูล




เกาะลิดี

เกาะลิดี คืออีกหนึง่สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา อำเภอเมือง จังหวัดสตูล อยู่ห่างจากที่ทำการฯ (อ่าวนุ่น) ประมาณ 5 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือปากบาราประมาณ 7 กิโลเมตร มีหน้าผาและถ้ำเป็นที่อาศัยของนกนางแอ่นเป็นจำนวนมาก

      เกาะลิดี มีเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร มีหาดทรายขาวบริสุทธิ์ และมีเวิ้งอ่าวยื่นเข้าไปในตัวเกาะเป็นสระน้ำใสสะอาด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบเล่นน้ำทะเล ปัจจุบันเกาะลิดีมีหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ มีบ้านพัก และบริเวณที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว สามารถติดต่อเรือประมงได้จากที่ทำการอุทยานฯ

      เสน่ห์ของเกาะลิดี อยู่ที่การเป็นเกาะคู่แฝดที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน และมีเกาะน้อยๆประมาณ 3-4 เกาะ เรียงรายอยู่ใกล้ๆ มีถ้ำซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของนกนางแอ่น รอบด้านคือหาดทรายขาวบริสุทธิ์ และมีเวิ้งอ่าวยื่นไปในน้ำ


ข้อมูลโดย : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สำนักงานใหญ่) 


มารู้จักโรคปวดหลัง


อาการปวดหลัง Low back pain
อาการปวดหลังเป็นอาการหนึ่งที่เป็นกันบ่อยๆ ประมาณ 4/5ของผู้ใหญ่จะเกิดอาการปวดหลัง ซึ่งอาจจะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการดูแลตัวเอง ผู้ที่มีอาการปวดหลังร้อยละ50จะหายภายใน 2 สัปดาห์ ร้อยละ90 จะหายภายใน 3 เดือน จะพบผู้ป่วยร้อยละ 5-10ที่จะเป็นโรคปวดเรื้อรัง การที่มีอาการปวดหลังไม่ได้หมายความว่าจะมีการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย การปวดหลังเป็นเพียงเกิดการอักเสบขึ้นที่โครงสร้างของหลัง อาการที่สำคัญที่แสดงว่าเส้นประสาทถูกทำลายและต้องพบแพทย์โดยด่วนได้แก่
  • กลั้นปัสสาวะหรืออุจาระไม่อยู่
  • อ่อนแรงของขา
  •  บทความนี้จะกล่าวถึงกลไกการเกิดโรคปวดหลัง การป้องกัน การรักษา
    ส่วนประกอบของหลังของเรา 
    หลังของเรามิได้ประกอบด้วยกระดูกชิ้นเดียวแต่ประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังทั้งหมด 24 ชิ้นที่เรียกว่า vertebrae วางซ้อนกันตั้งแต่กระดูกสะโพกถึงกะโหลกศีรษะ ระหว่างกระดูกแต่ละชิ้นจะเนื้อนุ่มเหมือนฟองน้ำขั้นกลางเรียกหมอนรองกระดูก ซึ่งจะรับแรงกระแทกของกระดูก และเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว กระดูกสันหลังทำหน้าที่เป็นแกนกลางของร่างกาย กระดูกจะถูกยึดติดเป็นแนวโดยอาศัยกล้ามเนื้อและเอ็น การหดเกร็งกล้ามเนื้อหลังจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหว
    หน้าอีกอย่างหนึ่งของกระดูกสันหลังคือเป็นทางผ่านของประสาทไขสันหลัง (spinal cord) วิ่งเริ่มต้นจากสมองในกะโหลกศีรษะลงมาในช่องกระดุกสันหลัง และมีเส้นประสาท ( spinal nerve ) ออกบริเวณข้อต่อของกระดูกไปเลี้ยงยังอวัยวะต่างๆ
    แพทย์จะแบ่งกระดูกหลังออกเป็นห้าส่วนคือ cervical ,thoracic ,lumbar,sacrum ,coccyx ส่วนที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุดคือส่วนเอว(lumbar) และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้มากที่สุด อวัยวะที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้แก่
    • รากประสาทที่ออกจากไขสันหลังอาจจะถูกกระตุ้นทำให้มีอาการปวด
    • ปลายประสาทที่เลี้ยงไขสันหลังอาจจะถูกกระตุ้นทำให้มีอาการปวด
    • กล้ามเนื้อหลังอาจเกร็งอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดอาการปวด
    • กระดูกสันหลัง เอ็น และข้อต่อกระดูกสันหลังอาจจะเกิดโรคทำให้ปวด
    • โรคที่เกิดระหว่างกระดูกเช่นหมอนกระดูกทับเส้นประสาท
    ดังนั้นการทบทวนโครงสร้างของกระดูกสันหลังจะทำให้เราเข้าใจสาเหตุ กลไกการเกิดอาการปวดรวมทั้งการให้การรักษา ส่วนประกอบสำคัญที่ประกอบเป็นกระดูกสันหลังได้แก่
    1. Vertebral bodies 
    2. Vertebral discs
    3. Spinal cord and nerve roots 
    4. Muscles 
    สำหรับตำแหน่งที่มักจะทำให้เกิดอาการปวดได้แก่

    • บริเวณกระดูกคอ cervical
    • บริเวณกระดูกหน้าอก thorax
    • บริเวณกระดูกเอว lumbar
    ส่วนกระดูก sacrum เป็นกระดูก 5 ชิ้นเชื่อมติดกันและต่อกับกระกระดูกสะโพกที่เรียกว่า sacroiliac joint

การจัดการกับความเครียด


ความเครียด
ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย
ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกาย ให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดี มันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย
ชนิดของความเครียด
  1. Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด
  • เสียง
  • อากาศเย็นหรือร้อน
  • ชุมชนที่คนมากๆ
  • ความกลัว
  • ตกใจ
  • หิวข้าว
  • อันตราย
  1. Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง
  • ความเครียดที่ทำงาน
  • ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความเครียดของแม่บ้าน
  • ความเหงา
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ
ผลเสียต่อสุขภาพ
ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ อ่านรายละเอียดที่นี่
 คุณมีความเครียดหรือไม่
ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่
อาการแสดงทางร่างกาย
มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง
อาการแสดงทางด้านจิตใจ
วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
อาการแสดงทางด้านอารมณ์
โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง
อาการแสดงทางพฤติกรรม
รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว
การแก้ไขเมื่ออยู่ในภาวะที่เครียดมาก
หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้
  • อ่อนแรงไม่อยากจะทำอะไร
  • มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ
  • วิตกกังวล
  • มีปัญหาเรื่องการนอน
  • ไม่มีความสุขกับชีวิต
  • เป็นโรคซึมเศร้า
ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ
  1. ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา
  2. หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ
  3. ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน
  4. ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด
  5. หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์
  6. การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ
  7. หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า
  8. ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี
หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด
  • ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน
  • ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข
  • จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด
  • จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได ้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ
  • ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด
  • ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
  • ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน
  • ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น
  • ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์
  • เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ
  • เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม
  • เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง
โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด
โรคทางเดินอาหาร
โรคปวดศีรษะไมเกรน
โรคปวดหลัง
โรคความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหัวใจ
ติดสุรา
โรคภูมิแพ้
โรคหอบหืด
ภูมิคุ้มกันต่ำลง
เป็นหวัดง่าย
อุบัติเหตุขณะทำงาน
การฆ่าตัวตายและมะเร็ง


เคล็ดลับที่ไม่ลับสำหรับสุขภาพที่ดี


เคล็ดลับที่ไม่ลับสำหรับสุขภาพที่ดี
ไม่อยากปวดหลัง  ขี้ลืม  และเซื่องซึม  ต้องทานแมงกานีสค่ะ
แมงกานีสจะมีอยู่ในถั่ว  เม็ดมะม่วงหิมพานต์  ถั่วทอด  นม  เนย  ไข่  เนื้อสัตว์  ผัก  และผลไม้  อาหารเหล่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณมีการยืดตัวหดตัวดีเยี่ยม ไม่ปวดหลัง
    
     ใครผมหงอกก่อนวัยฟังทางนี้จ้า...
 อาจ เป็นเพราะคุณทานทองแดง  ฟอลิกแอซิด  แพนโทเธ็นนิคแอซิด  และพาบา  น้อยไปค่ะ  สารอาหารเหล่านี้จะมีอยู่ในโยเกิต  ตับ  และยีสต์  โดยคุณต้องทานวันละมาก ๆ  แต่ถ้าทานมากแล้วผมยังหงอกเหมือนเดิม  สรุปว่าเป็นกรรมพันธุ์ค่ะ
     
     จริงไหมสำหรับคอทองแดงต้องมีการถอน
คงจะเป็นความคิดที่ผิดมังค่ะ  เพราะการถอนจะกลายเป็นการปลุกใหม่เสียมากกว่า  เพราะติดลมค่ะ  วิธีที่ดีสำหรับคอทองแดงเมื่อมีอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นคือ  การดื่มนมสักแก้วเป็นวิธีที่ดีที่สุดเลยค่ะ  หรือทานกล้วยสัก 2 - 3 ลูกนะค่ะ  ได้ผลยังไงบอกกันบ้างก็ดีนะค่ะ  จะได้เอาไปใช้มั่งค่ะ

     คนนอนดึกดูทางนี้
หนอนหนังสือ  หรือแวมไพรทั้งหลายที่ชอบนอนดึกตอนนี้สบายใจได้แล้ว  เพราะสะระแหน่ในอาหารประเภทยำที่มีกลิ่นแรงนี่แหละ  ซึ่งในสะระแหน่มีเมนทอล  และหัวน้ำมันระเหย  จะช่วยกระตุ้นปลายประสาทผิวหนัง  ช่วยขับเหงื่อ  ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ  แก้เป็นหวดคัดจมูก แก้ร้อนใน  บำรุงสมอง  ช่วยให้ตาสว่าง  คึกคักสดชื่นไม่ง่วงซึม  แหมบอกมาอย่างนี้สงสัยดึกแค่ไหนก็สู้ใช่ไหมค่ะ

    ลำใย  อาหารพิเศษสำหรับคนที่มีอาการเบื่อ ๆ
ทานลำใยมากเกินไปจะทำให้ร้อนในและไม่สบาย  แต่ถ้าเมื่อใดที่รู้สึกว่าความคิดความอื่นตื้อ ๆ ไม่คึกคักเหมือนก่อน  อ่อนเพลีย  จิตใจหม่นหมอง (เพราะแฟนไม่โทร.มา....ล้อเล่นค่ะ)  อารมณ์แปรปรวนง่าย  ลำใยชนิดตากแห้งจะช่วยคุณได้เยอะ  โดยปรุงร่วมกับเมนูอื่นได้  อาทิเช่น  ลำใยตุ๋นรวมกับไข่ตุ๋น  เพราะสมองมีเมนูโปรดคือลำใยที่มีน้ำตาลไม่มีพิษอย่างน้ำตาลทรายขาว  จะช่วยทำให้คุณเจริญอาหาร มีกำลังวังชา ความคิดเล่น สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี  นอกจากนี้ลำใยยังช่วยบำรุงม้าม  หัวใจ  การไหลเวียนของเลือดได้ดี  ไม่ทำให้เครียดได้ง่าย  เอ....อย่างนี้ต้องลองทานดูบ้างแล้วค่ะ  หรือเจ้าของสวนลำใยจะอนุเคราะห์ก็ไม่ปฏิเสธค่ะ
 
    วิธีดับกลิ่นลมหายใจไม่สะอาด
หากไม่สามารถหาหมากฝรั่งหรือเม็ดอมดับกลิ่นได้  นมสด, น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น หรือน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นก็ช่วยได้มากเลยค่ะ  ใครลองไปทำแล้วได้ผลอย่างไรก็บอกกันบ้างนะค่ะ

การทำข้าวผัดน้ำพริกกะปิ

ข้าวผัดน้ำพริกกะปิ
ส่วนผสม
ข้าวสวย2 ถ้วย
กุ้งชีแฮ้5-6 ตัว
ไข่ไก่2 ฟอง
น้ำมันพืช1/4 ถ้วย
กุ้งแห้ง1/4 ถ้วย
พริกขี้หนู5 เม็ด
กระเทียมแกะเปลือก5 กลีบ
กะปิ1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ1/2 ช้อนชา
น้ำปลา1/2 ช้อนชา
น้ำมะนาว2 ช้อนชา
กระเทียมโขลก1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับผัด3 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย1/4 ถ้วย
มะม่วงดิบสับ1/4 ถ้วย
แตงร้านปอกเปลือกหั่นชิ้นพอคำ2-3 ชิ้น
ใบผักชีสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
1. ล้างกุ้ง แกะเปลือก เด็ดหัวไว้หาง ผ่าหลังดึงเส้นดำออก พักไว้
2. ตีไข่ใส่ในถ้วยให้แตก ใส่น้ำมันเล็กน้อยลงในกระทะ ตั้งไฟอ่อนพอร้อน กลอกน้ำมันให้ทั่วกระทะ เทไข่ลงกรอกให้เป็นแผ่นกลมบาง พอไข่สุกตักขึ้น วางบนเขียง ม้วนไข่แล้วหั่นเป็นเส้นฝอย
3. ตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางพอร้อน ทอดกุ้งแห้งให้กรอบ ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
4. ทำน้ำพริกกะปิโดย โขลกพริกขี้หนู กระเทียม กะปิให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำมะนาว และน้ำปลา คนให้เข้ากัน พักไว้
5. เจียวกระเทียมในกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางจนเหลือง จากนั้นใส่กุ้งลงผัดให้สุก ตามด้วยข้าวสวย ผัดพอเข้ากัน ใส่น้ำพริกกะปิที่โขลกไว้ลงผัดพอทั่ว ปิดไฟ
6. ตักข้าวผัดใส่ชาม โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งทอดและไข่เจียวฝอย ตกแต่งด้วยใบผักชี รับประทานกันหอมแดง มะม่วงดิบ แตงร้านและมะนาว

การทำก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระ


ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระ


สำหรับ 3 ที่

ส่วนผสม (น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว)
 
น่องไก่ 3 ชิ้น
น้ำต้มกระดูกไก่  5 ถ้วยตวง 
ซอสปรุงอาหารตราแม็กกี้5 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้5 ช้อนโต๊ะ
มะระแกะเมล็ดออกหั่นชิ้นขนาด 2 x2 นิ้ว6 ชิ้น
อบเชยแท่งยาว 3 นิ้ว1  แท่ง
โป๊ยกั๊ก  3 ดอก
รากผักชี ทุบพอแตก  1 ราก
เม็ดพริกไทยบุบพอแตก5 เม็ด
เม็ดเก๋ากี้ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. นำมะระใส่หม้อตามด้วยน้ำเปล่าและเกลือป่นเล็กน้อย ต้มพอสุกนิ่มแล้วรินน้ำออกพักไว้

2. ใส่น้ำต้มกระดูกไก่ลงหม้อ ตามด้วย รากผักชี  อบเชย โป๊ยกั๊ก เม็ดพริกไทย พอเริ่มเดือดเล็กน้อย
3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงอาหารตราแม็กกี้ ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้  คนพอเข้ากันแล้วใส่น่องไก่ มะระ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 45 นาที คอยตักฟองออก พอเนื้อไก่เริ่มเปื่อยนุ่ม ให้ใส่เม็ดเก๋ากี้ลงไปในขั้นตอนสุดท้าย พร้อมจัดรับประทานกับก๋วยเตี๋ยวเส้นต่างๆตามชอบ
4. การจัดรับประทาน ให้ลวกผักบุ้ง ถั่วงอกและ เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่ลวกสุกเคล้าด้วยกระเทียมเจียว แล้วตักน่องไก่ตุ๋น และเนื้อมะระลงในชามก๋วยเตี๋ยวพร้อมกับน้ำซุปพอประมาณ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว ปรุงรสตามชอบด้วยพริกน้ำส้ม และพริกป่น
เคล็ดลับควรเลือกมะระผลใหญ่แก่พอเหมาะ ผิวใส  ตึง นำมาผ่าเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นตามขนาดที่ต้องการ แล้วให้ล้างและแช่ด้วยเกลือป่น ประมาณ 10 นาที ก่อนนำไปทำอาหาร เพราะเกลือจะช่วยดูดซับความขมออกมา และ เมื่อนำไปทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ให้ลวกมะระในน้ำเดือด 1 ครั้งก่อนที่จะใส่ลงในน้ำต้มกระดูก เพื่อให้มั่นใจว่ามะระมีรสชาติที่ดี และทำให้น้ำซุปกลมกล่อม

การทำฮิยาชิ ราเมน

ฮิยาชิ ราเมน
เครื่องปรุง
บะหมี่เหลือง4 ก้อน
ไข่2 ฟอง
เนื้ออกไก่100 กรัม
แฮม4 แผ่น
แตงกวาญี่ปุ่น1 ลูก
สาเก, น้ำมันงาอย่างละเล็กน้อย

เครื่องปรุงน้ำซอส

น้ำซุป1/2 ถ้วย
น้ำส้มสายชู1/5 ถ้วย
โชยุ1/5 ถ้วย
น้ำตาล3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ1/2 ช้อนชา
น้ำมันงา1 ช้อนชา
พริกป่นละเอียด1 ช้อนชา
งาขาวคั่ว1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ถ้วย ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ใส่น้ำมันลงเล็กน้อย จากนั้นเทไข่ลงแล้วหมุนกระทะ ให้ไข่แผ่เป็นแผ่นบางๆ พอสุกนำมาซอยให้เป็นเส้นๆ
2. นำเนื้อไก่ลงต้มในหม้อ เติมสาเกเล็กน้อย ต้มให้สุกแล้วนำมาฉีกเป็นฝอย
3. ลวกแฮมในน้ำเดือด แล้วหั่นเป็นเส้นๆ
4. ซอยแตงกวาเป็นเส้น ส่วนผสมที่นำมาซอยเป็นเส้นควรทำให้มีขนาดเท่ากันทั้งหมด
5. ปรุงน้ำซอส โดยนำน้ำซุปตั้งไฟ จากนั้น เติมน้ำส้ม โชยุ น้ำตาลและเกลือ พอเดือดก็ยกลงแล้วเติมน้ำมันงา พริกป่นและงาขาวคั่ว คนให้เข้ากัน แล้วตักใส่ถ้วย
6. ลวกเส้นบะหมี่ในน้ำเดือดๆ พอสุกแล้วนำมาผ่านในน้ำเย็น ใช้มือขวาไปมา ทำให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นนำมาคลุกกับน้ำมันงาให้ทั่วแล้วจัดใส่จาน
7. วางเครื่องที่เตรียมไว้ทั้งหมดบนเส้นบะหมี่ จัดเรียงให้สวยงาม นำมาทานกับน้ำซอส

การเพาะปลูก การปลูกมะนาว


การปลูกมะนาว

การเพาะปลูก การปลูกมะนาว




พันธุ์มะนาวที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และปลูกกันในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้แก่
1. มะนาวหนัง ผลอ่อนมีลักษณะกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีกลมมนบ้างเล็กน้อย ด้านหัวมีจุกเล็ก ๆ มีเปลือกค่อนข้างหนา จึงทำให้เก็บรักษาผลไว้ได้นาน

2. มะนาวไข่ มีขนาดและลักษณะคล้ายมะนาวหนังเกือบทุกอย่าง ผลอ่อนมีลักษณะกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมมนเป็นส่วนมาก เปลือกบาง ผลโตกว่ามะนาวหนัง

3. มะนาวแป้น เป็นมะนาวที่สามารถให้ดอกออกผลตลอดปี ผลมีขนาดกลาง ทรงผลแป้น เปลือกบาง มีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์แป้นรำไพ แป้นทราย เป็นต้น

การเตรียมพื้นที่ปลูก
1. พื้นที่ลุ่ม เตรียมพื้นที่โดยการทำคันดินใหัมีความกว้างประมาณ 6-8 เมตร ส่วนสูงให้สังเกตจากปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้อยู่สูงกว่า แนวระดับน้ำท่วม 50 เซนติเมตร แทงร่องหรือซอยร่องทำประตูน้ำเพื่อ ระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร พื้นที่ร่องกว้าง 0.5-0.7 เมตร ใช้ระยะปลูก 5X5 เมตร
2. พื้นที่ดอน ควรไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช และทำให้ดินร่วนซุย ใช้ระยะปลูก 4 x 4 - 6 x 6 เมตร ทั้งนี้ขื้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
มะนาวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิต ไม่ว่าจะเป็น ดินเหนียว ดินทราย แต่ถ้าต้องการจะปลูกมะนาวให้เจริญงอกงามดี มี ผลดกและคุณภาพดี ก็ควรจะปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนซุย มีการระบาย น้ำดี มีอินทรียวัตถุผสมอยู่มาก และควรเลือกพื้นที่ที่อยูใกล้แหล่งน้ำ

วิธีการปลูก

1. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน

2. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร

3. ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันในหลุมให้ สูงประมาญ 2 ใน 3 ของหลุม

4. ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย

5. ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ช้ายและขวา)

6. ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก

7. กลบดินที่เหลือลงในหลุม

8. กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น

9. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมพัดโยก

10. หาวัสถุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง

11. รดน้ำให้โชก

12. ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
การปฏิบัติดูแลรักษา

1. การให้น้ำ
ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย (กรณีฝนไม่ตก) หลังจากปลูกประมาณ 15 วัน มะนาวสามารถตั้งตัวได้แล้ว ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง และควรหา วัสดุมาคลุมดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชื้น ควรเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เป็นต้นไป จนถึงช่วงออกดอกเพื่อให้มะนาวสะสม อาหารให้สูงถึงระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอก เดือนเมษายน-พฤษภาคม หลังจากมะนาวออกดอก และกำลังติดผลอ่อน เป็นช่วงที่มะนาวต้องการน้ำมาก เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของผล

2. การใส่ปุ๋ย
2.1 หลังจากมะนาวอายุได้ 3-4 เดือน ควรใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 0.5 กิโลกรัม กรณีใส่ปุ๋ยเคมีควรใส่หลังจาก พรวนดินกำจัดวัชพืชแล้ว โดยใส่บริเวญรอบทรงพุ่ม แล้วก็ให้น้ำตามเพื่อ ให้ปุ๋ยละลาย
2.2 เมื่อมะนาวอายุ 1 ปี ให้ใส่ปุ๋ยตราบัวทิพย์ สูตร 2 ประมาณ ต้นละ 300 กรัม และเมื่อมะนาวอายุ 2 ปี ก็เพิ่มปริมาญปุ๋ยโดยใส่ปีละ 2 ครั้ง ๆ ละประมาณ 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ขี้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ ของตน และเมื่อมะนาวอายุย่างเข้าปีที่ 3 ก็จะเริ่มให้ผลผลิต
2.3 ช่วงระยะก่อนออกดอกประมาณ 1-2 เดือน ให้ใส่ปุ๋ย เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะที่ยังไม่ออกดอก ในระยะเร่งการออกดอก ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ปริมาณที่ใช้ ขึ้นอยู่กับอายุของต้นพืช โดยใส่ในปริมาณครึ่งหนึ่งของอายุต้น

ผลงานปุ๋ยตราบัวทิพย์

3. การกำจัดวัชพืช
การกำจัดวัชพืชในสวนมะนาวสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ถอน ถาง หรือใช้เครื่องตัดหญ้าแต่ต้องระวังอย่าให้เกิดบาดแผลตามโคนต้น หรือกระทบกระเทือนราก วิธีกำจัดวัชพืชอีกวิธีหนึ่งที่นิยมคือการใช้สารเคมี เช่น พาราชวิท ไกลโฟเสท ดาวพอน เป็นตัน โดยการใช้จะต้องระวัง อย่าให้สารพวกนี้ปลิวไปถูกใบมะนาวเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เช่นทำให้ ใบไหม้เหลืองเป็นจุดๆ หรือไหม้ทั้งใบ ดังนั้นจึงควรฉีดพ่นตอนลมสงบ
4. การค้ำกิ่ง
เมื่อมะนาวใกล้จะผลิดอกออกผล ต้องมีการค้ำกิ่งให้กับต้นมะนาวด้วย เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักหรือฉีกขาดโดยเฉพาะในช่วงติดผล และยังช่วยลดความเสียหาย เนื่องจากโรคและแมลงได้ โดยวิธีการค้ำกิ่ง สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. การค้ำกิ่งโดยการใช้ไม้รวกหรือไม์ไผ่ทำเป็นง่าม สอดเขัากับกิ่งมะนาว ให้ปลายอีกข้างหนึ่งวางตั้งรับน้ำหนักของกิ่งอยู่บนพื้นดิน แล้วใช้เชือกผูกมัดกิ่งไว้
2. การค้ำกิ่งแบบคอกหรือนั่งร้าน โดยเอาไม้มาทำเป็นนั่งร้านรูปสี่เหลี่ยนรอบๆ ต้นมะนาวเพื่อรองรับกิ่งใหญ่ ๆ ของมะนาวไว้ อาจทำเป็น 2-3 ชั้น แล้วให้กิ่งพาดอยู่ที่ชั้นใดก็ได้ ซึ่งวิธีนื้จะมั่นคงทนทาน และใชัประโยชน์ได้ดีกว่าวิธีแรก
5. การตัดแต่งกิ่ง
เพื่อให้มะนาวมีทรงพุ่มสวยและให้ผลดกปราศจากการทำลายของโรคและแมลง การตัดแต่งกิ่งควรทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งที่เป็นโรค กิ่งแห้ง กิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกให้หมด แล้วนำไปเผาทำลาย อย่าปล่อยทิ้งไว้ตามโคนต้น เพราะจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคได้

ประโยชน์ของ การปลูกมะนาว

มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมี ประโยชน์ด้านความงามโดย เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทา บริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง ซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุด ส่งผลให้ใบหน้าสวยใส

นอกจากนี้

1.ทำเบบี้เฟซ หรือหน้าดูเด็ก

วิธีทำ เอาน้ำมะนาวคั่นแล้วครึ่งลูก ผสมกับดินสอพองหมักทิ้งไว้สักพัก จากนั้นนำมาทาเบาๆให้ทั่วใบหน้าก่อนนอน ทิ้งไว้ 1 คืน เช้าขึ้นมาล้างหน้าด้วยน้ำธรรมดา แล้วลองลูบไล้ใบหน้าตัวเองดุ จะรู้สึกว่าใบหน้าเราช่างลื่น นุ่มละมุนเสียนี่กระไร หมั่นทำบ่อยๆหน้าจะดูใสอ่อนวัยไปเอง

2.วิธีขจัดตีกา บนใบหน้า

วิธีทำ นำน้ำมะนาว 1 ส่วน น้ำผึ้ง 2 ส่วน ผสมให้เข้ากัน นำมาทาบริเวณรอยประทับของตีนกา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำอย่างนี้วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น จะช่วยกระตุ้นให้เวลล์ผิวหนังรุ่นใหม่เจริญเติบโตขึ้นมาทดแทนเซลล์รุ่นเก่าที่รอยเหี่ยวย่น ทำบ่อยๆ ก็จะหายไปเอง

3.ทำผมสวย

วิธีทำ เส้นผมของคนเราชอบความเป็นกรดอ่อนๆ หนังศีรษะของคนเราก็ชอบกรดอ่อนๆแต่แชมพูที่เราซื้อมา จะเป็นด่าง ด่างกับกรดก็ไม่ถูกกัน เส้นผมหนังหัว สระล้างด้วยด่างเป็นประจำ ทำให้ผมแห้งกรอบพันกัน หนังศีรษะแห้ง ตกสะเก็ดกลายเป็นรังแค ถ้าแพ้มากๆ หนังศีรษะอักเสบหรือมีผมร่วงมีสิทธิ์หัวลานได้ง่าย เมื่อสระผมเส้นแล้ว ต้องการปรับสภาพเส้นผมให้กลับมาเป็นกรดใช้มะนาว นี่แหละครีมนวดชั้นดี เพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ให้เอาน้ำมะนาว 30 ซีซี. หรือประมาณ 6 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ลิตร สามารถเอามาใช้แทนครีมนวดผมได้สบายมาก

4.ใช้เป็นยาสารพัดโรค

วิธีทำ เนื่องจากมะนาวมีสรรพคุณช่วยขจัดสารพิษ สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายดื่มน้ำมะนาวบ่อยๆ นอกจากจะช่วยขับปัสสาวะให้สะดวกแล้ว น้ำมะนาวยังช่วยขจัดเสมหะ และแก้ไอได้ โดยการใช้มะนาว น้ำผึ้ง น้ำสุก อย่างละเท่าๆกัน ผสมให้เข้ากันและค่อยจิบ จิบจนหมด แต่ต้องไม่ลืมบ้วนปาก เพราะถ้ากรดมะนาวเหลือตกในช่องปากกรดมะนาวจะกัดผิวฟันให้กร่อนได้

5.สูตรลดความอ้วน

วิธีทำ ทุกเช้าตื่นขึ้นมาดื่มน้ำมะนาวคั้น 1 ลูก ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว และก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อให้ดื่มน้ำมะนาวคั้นครึ่งลูก ผสมกับน้ำอุ่นน้ำเย็นได้ทั้งนั้น แต่ก้มีข้อแม้คือห้ามใส่น้ำตาลลงไป ในน้ำมะนาวเด็ดขาด ส่วนเกลือนั้นเติมลงได้

การเพาะปลูก การปลูกกระเทียม


การปลูกกระเทียม

การเพาะปลูก การปลูกกระเทียม




กระเทียมที่ใช้เป็นอาหารมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. กระเทียมต้น ไม่มีหัว ปลูกโดยใช้เมล็ดพันธุ์ เพื่อรับประทานลำต้นและใบเป็นพืชผักสดเท่านั้น

2. กระเทียมหัว ปลูกด้วยกลีบ หรือหัวพันธุ์ มีหลายพันธุ์ ซึ่งมาจากแหล่งต่าง ๆ กันมีอายุยาวนานกว่าประเภทแรก



พันธุ์ที่ใช้ปลูก

ภาคเหนือนิยมปลูกพันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ เชียงรายและพม่า ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกพันธุ์พื้นเมืองศรีสะเกษ และภาคกลางนิยมปลูกพันธุ์บางช้าง และพันธุ์จีน หรือไต้หวัน

พันธุ์ที่ปลูกในบ้านเรา สามารถแบ่งได้ตามอายุการแก่เก็บเกี่ยวได้ ดังนี้

1. พันธุ์เบา หรือพันธุ์ขาวเมือง ลักษณะใบแหลม ลำต้นแข็ง กลีบเท่าหัวแม่มือ กลีบและหัวสีขาว มีกลิ่นฉุนและรสจัด อายุแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 75-90 วัน เช่น พันธุ์พื้นเมือง ศรีสะเกษ เป็นต้น

2. พันธุ์กลาง ลักษณะใบเล็กและยาว ลำต้นใหญ่ และแข็ง หัวขนาดกลาง หัวและกลีบสีม่วง อายุแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน นิยมปลูกมากในภาคเหนือ เช่นพันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น

3. พันธุ์หนัก ลักษณะใบกว้างและยาว ลำต้นเล็ก หัวใหญ่ กลีบโต เปลือกหุ้มสีชมพู น้ำหนักดี อายุแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 150 วัน เช่น พันธุ์จีน หรือไต้หวัน เป็นต้น



แหล่งเพาะปลูก

กระเทียมสามารถเพาะปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศแต่เหมาะที่จะปลูกในแปลงที่เป็นดินร่วน หรือระบายน้ำได้ดีและมีอุณหภูมิอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เป็นระยะเวลายาวนานหลายเดือน ดังนั้นบริเวณเพาะปลูกกระเทียมที่สำคัญของไทย ส่วนใหญ่จึงอยู่ทางภาคเหนือตอนบน ที่สำคัญได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง และอุตรดิตถ์ นอกจากนี้มีเพาะปลูกข้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์



ระยะเวลาเพาะปลูก

การเพาะปลูกกระเทียมส่วนใหญ่ จะปลูก 2 ช่วง คือ

1. เพาะปลูกช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน และเก็บเกี่ยวเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ อายุประมาณ 75-90 วัน กระเทียมรุ่นนี้เรียกว่ากระเทียมดอ หรือกระเทียมเบา นิยมใช้ทำกระเทียมดอง ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน เพราะฝ่อเร็ว

2. เพาะปลูกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม หลังการเก็บเกี่ยวข้าวและเก็บเกี่ยวเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน อายุประมาณ 90-120 วัน เรียกว่ากระเทียมปี ใช้ทำกระเทียมแห้งเพราะสามารถเก็บไว้ได้นาน





การเตรียมดินปลูก

ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกระเทียม ควรเป็นดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี

ถ้าหากเป็นกรดจัดจะทำให้กระเทียมไม่เจริญ ควรใส่ปูนขาวก่อนปลูกอย่างน้อย 15 วัน เพื่อปรับดินให้เป็นกรดอ่อน ๆ (pH 5.5-6.8)

ก่อนไถควรหว่านปุ๋ยคอกก่อนประมาณ 4 ตันต่อไร ถ้าเป็นดินเหนียวควรใช้ไถบุกเบิกก่อนพรวน ถ้าเป็นดินร่วนใช้เฉพาะพรวนและยกแปลงเพื่อการให้น้ำและระบายน้ำได้ดี

การเตรียมดินดีจะช่วยให้กระเทียมลงหัวดี และควรเตรียมแปลงปลูกขนาดกว้าง 1 - 2.5 เมตร ความยาวตามพื้นที่ปลูกระยะห่างระหว่างแปลง (ทางเดินหรือร่องน้ำ) ควรกว้าง 50 ซม.



การปลูก

กระเทียมปลูกโดยใช้กลีบซึ่งประกอบเป็นหัว นิยมใช้กลีบนอกปลูก เนื่องจากกลีบนอกมีขนาดใหญ่ จะให้กระเทียมที่มีหัวใหญ่และผลผลิตสูง การนำกระเทียมไปปลูกในฤดูฝน จะทำให้กระเทียมงอกไม่พร้อมกัน โตไม่สม่ำเสมอกัน

ขนาดของกลีบจะมีอิทธิพลหรือความสำคัญ ต่อการลงหัวของกระเทียม จากการศึกษาพบว่าพันธุ์ที่มีกลีบใหญ่ ถ้าหากใช้กลีบขนาดกลางปลูกจะทำให้ผลผลิตสูง พันธุ์ที่มีกลีบขนาดเล็ก ถ้าใช้กลีบใหญ่ที่สุดปลูกจะให้ผลผลิตสูง

ปกติกลีบที่มีน้ำหนัก 2 กรัม จะให้ผลผลิตสูง

การปลูกอาจให้น้ำก่อน และใช้กลีบกระเทียมจิ้มลงไปโดยเอาส่วนรากลงลึกประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบ เป็นแถวตามระยะปลูกที่กำหนด ในพื้นที่ 1 ไร่ ต้องใช้หัวพันธุ์ 100 กก. หรือกลีบ 75-80 กก. ปลูกโดยใช้ระยะปลูก 10 x 10 -15 ซม. จะให้ผลผลิตสูงที่สุด สำหรับกระเทียมจีนใช้ระยะปลูก 12-12 ซม. และหัวพันธุ์ 300-350 กก.ต่อไร่ หลังปลูกจะใช้ฟางคลุมแปลงเพื่อควบคุมวัชพืช ที่จะมีขึ้นในระยะแรก เก็บความชื้นและลดความร้อนเวลากลางวัน



การให้น้ำ

ควรให้น้ำก่อนปลูก และหลังปลูกกระเทียมควรได้รับน้ำอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอในช่วงระหว่างเจริญเติบโต 7-10 วัน/ครั้ง สรุปแล้วจะให้น้ำประมาณ 10 ครั้ง/ฤดู ควรงดการให้น้ำเมื่อกระเทียมแก่จัด ก่อนเก็บเกี่ยว 2-3 สัปดาห์









การคลุมดิน

หลังปลูกกระเทียมควรคลุมดินด้วยฟางข้าวแห้ง เศษหญ้าแห้ง หรือเศษวัสดุที่สามารถผุพังเน่าเปื่อยอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อควบคุมวัชพืชที่จะมีขึ้นในระยะแรก รักษาความชื้นในดิน ประหยัดในการให้น้ำและลดอุณหภูมิลงในเวลากลางวัน ทำให้กระเทียมสามารถเจริญเติบโตได้ดี



การใส่ปุ๋ย

ปุ๋ยที่แนะนำให้ใช้สำหรับกระเทียมในบ้านเรา ควรมีส่วนของไนโตรเจนเท่ากับ 1 ส่วน ฟอสฟอรัส 1 ส่วน และโปแตสเซี่ยม 2 ส่วน เช่น ปุ๋ยสูตร 10-10-15, 13-13-21 เป็นต้น อัตราปริมาณ 50-100 กก./ไร่ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกใส่เป็นปุ๋ยรองพื้นตอนปลูก แล้วพรวนกลบลงในดิน ปริมาณครึ่งหนึ่งและใส่ครั้งที่ 2 ใส่แบบหว่านทั่วแปลง เมื่ออายุประมาณ 30 วันหลังปลูก ควรใช้ปุ๋ยเสริมไนโตรเจน เช่น ปุ๋ยยูเรีย แอมโมเนียมซัลเฟต เป็นต้น เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะแรก อัตราประมาณ 25-30 กก./ไร่ เมื่ออายุประมาณ 10-14 วันหลังปลูก



การกำจัดวัชพืช

กระเทียมเป็นพืชที่มีรากตื้น ดังนั้นควรกำจัดวัชพืชในระยะที่วัชพืชเริ่มงอก ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ นอกจากจะแย่งน้ำอาหารและแสงแดดจากกระเทียมแล้ว เมื่อถอนจะทำให้รากของกระเทียมกระเทือนทำให้ชะงักการเจริญเติบโต หรือทำให้ต้นเหี่ยวตายได้ ฉะนั้นเมื่อวัชพืชมี ขนาดใหญ่ควรใช้มีดหรือเสียมมือเล็ก ๆ แซะวัชพืชออก

ส่วนสารเคมีกำจัดวัชพืชที่เกษตรกรในบ้านเรานิยมใช้กันมากคืออะลาคอร์ (ชื่อการค้า = แลสโซ่) อัตรา 0.36-.045 กก.ต่อไร่ (ของเนื้อยาบริสุทธิ์) โดยพ่นคุลมดินหลังปลูกก่อนที่กระเทียมและวัชพืชงอก นอกจากนี้ยังใช้ยาพาราควอซ์ (ชื่อการค้า = กรัมม๊อกโซน) พ่นตามร่องน้ำระหว่างแปลงทุกครั้งหลังจากให้น้ำ



http://www.it.mju.ac.th

ประโยชน์ของ การปลูกกระเทียม

กระเทียม เป็นอาหารหรือเครื่องเทศ โดยใช้ทั้งต้นเป็นอาหาร หัวกระเทียมสด-แห้ง และน้ำมันกระเทียมใช้ เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นอาหาร เป็นอาหารเสริมสุขภาพ ใช้บำบัดอาการไอ หวัด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปวดฟัน ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย โรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดเปราะ ขับลม ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน ขับพยาธิไส้เดือน ลดอาการอักเสบบวม ฆ่าเชื้อ แก้โรคผิวหนัง น้ำกัดเท้า เป็นยาฆ่าแมลง น้ำมันกระเทียมใช้ทาแก้แมลงกัดต่อย
วิธีการใช้กระเทียมเพื่อรักษาโรคต่างๆ
1.ใช้ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะและขับเสมหะ โดยใช้กระเทียมสดครึ่งกิโลกรัมทุบพอแตก แช่ในน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ประมาณ 1 สัปดาห์ รับประทานครั้งละครึ่งช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง
2.ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ โดยใช้กระเทียมสด 5-7 กลีบ บดให้ละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย กรองเอาแต่น้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร
3.ใช้รักษาแผลสด แผลเป็นหนอง โดยใช้กระเทียมสดปอกเปลือก นำมาทุบหรือฝานทาในบริเวณที่เป็นแผล
4.ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า เชื้อราในช่องคลอด โดยใช้น้ำที่คั้นจากกระเทียมสดทาบริเวณที่เป็น
5.ลดอาการปวดฟันจากฟันผุ โดยใช้กระเทียมสดสับละเอียดอุดฟันที่ผุ
6.ใช้รักษาอาการปวดหู หูอื้อ หูตึง โดยใช้น้ำกระเทียมหยอดหูประมาณ 1-2 หยด วันละ 3-4 ครั้ง
7.ขับพยาธิ โดยนำรากกระเทียมผสมกับน้ำนมหรือกะทิสด คั้นเอาน้ำรับประทาน
8.แก้ปวดหัวหรือไมเกรน โดยการนำเอามาประกอบอาหาร หรือรับประทานสดครั้งละ 10 กลีบทุกวัน (ต้องรับประทานทุกวันต่อเนื่องกัน)

การเพาะปลูก การปลูกพริก


การปลูกพริก

การเพาะปลูก การปลูกพริก




ขั้นตอนการเตรียมดินในการปลูกนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในการปลูกพริกเนื่องจาก ถ้าเกษตรกรไม่สามารถเตรียมดินให้ดีตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจะมีปัญหามากมายหรือ อาจจะทำให้ขาดทุนได้ เกษตรกรจึงไม่ควรมอง ข้ามในเรื่องนี้

ขั้นตอนการไถและปรับสภาพดิน
ควรมีการไถเพื่อปรับสภาพดินและทำการตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน เพื่อทำการฆ่าเชื้อรา
การ รองพื้นโดยปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยมูลสัตว์) หลังจากตากดินไว้ 5-7 วันแล้ว ก่อนที่จะทำการไถในรอบที่ 2ให้ใช้ สาร ที-เอส-3000ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา สารที-เอส-3000 15 ก.ก (1กระสอบ) ผสมปุ๋ยอินทรีย์ 100 ก.ก หว่านในอัตรา 50 -100 ก.ก ต่อไร่ เพื่อปรับสภาพดินและความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
การรองพื้นโดยปุ๋ยเคมี หลังจากตากดิน 5-7 วันแล้ว ให้ใช้ สารที-เอส-3000 ผสมปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา สารที-เอส-3000 15 ก.ก (1กระสอบ) ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จำนวน 50 ก.ก (1กระสอบ) หว่านอัตรา 25 ก.ก ต่อไร่ สาร ที-เอส-3000 จะช่วยกระตุ้นระบบรากให้มีมากขึ้นและช่วยให้ต้านทานโรคและแมลงได้ดีเนื่อง จากสาร ที-เอส-3000จะมี ซิลิก้าซึ่งจะทำให้ลดต้นของพืชแข็งแรงพร้อมด้วยธาตุอาหารอื่นๆซึ่งจะทำให้ แข็งแรงต้านทานโรคและได้รับธาตุอาหารที่ครบถ้วนหลังจากนั้นให้ทำการคราดกลบ และรดน้ำเพื่อเตรียมการปลูกต่อไป


ขั้นตอนการปลูก
หลังจากเพาะเลี้ยงต้นกล้าให้ได้อายุ 2-3 สัปดาห์ ก่อนย้ายลงแปลงจริงให้ตัดยอดจนเหลื่อแต่ใบแก่ พร้อมกับรากแก้วให้เหลือเพียง 1-1 นิ้วครึ่ง เมื่อพริกโตขึ้นจะไม่สูงชะลูด แต่จะแตกพุ่มกลมมีกิ่งแขนงมากส่งผลให้มีดอกและผลมากด้วยส่วนรากจะเกิดรากฝอย ใหม่จำนวนมากแผ่กระจายรอบทรงพุ่มสามารถหาอาหารไปเลี้ยงลำต้นได้ง่าย

การเตรียมต้นกล้าก่อนปลูก
หลังจากนำต้นกล้าขึ้นมาจากแปลงเพาะเตรียมที่จะลงแปลงปลูก ให้นำต้นกล้าที่เตรียมไว้ลงแช่น้ำที่ผสมที-เอส-3000หรือไฮแม็ก อย่างไดอย่างหนึ่ง
-ที-เอส-3000 ประมาณ 3 ขีด ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อให้ต้นกล้าได้รับ ซิลิก้า ซึ่งจะทำให้ลำต้นแข็งแรง กระตุ้นการแตกรากดี ทำให้ต้นพริกฟื้นตัวได้เร็ว
- ไฮ-แม็ก ประมาณ 30-50 ซีซี (2-3 ฝา) เพื่อให้ต้นกล้าได้รับ ธาตุอาหาร ซึ่งจะทำให้ลำต้นแข็งแรง กระตุ้นการแตกรากดี ทำให้ต้นพริกฟื้นตัวได้เร็ว การปลูกไม่ควรปลูกลงลึกเกินไปเพราะจะทำให้พริกโตช้า

การใส่ปุ๋ย
หลังจากปลูกได้ประมาณ 20-25 วันหรือให้สังเกตดูต้นพริกมีความพร้อมที่ต้องการปุ๋ยให้ใส่ปุ๋ยเพื่อเร่งการเจริญเติบโตดังนี้
กรณี ใส่ปุ๋ยอินทรีย์(ปุ๋ยมูลสัตว์)ถ้าต้องการใสปุ๋ยอินทรีย์ใช้สารที-เอส-3000 ชนิดผง 15 กก.ผสมปุ๋ยอินทรีย์ในอัตราปุ๋ยอินทรีย์ 200-300 กก. หว่านในอัตรา 1 ไร่ ที-เอส-3000 มีสารอาหารที่ครบถ้วนช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารที่ครบถ้วน ช่วยลดปัญหาการเกิดเชื้อรา ลดปัญหาการเกิดโรครากเน่า โคนเน่า จะช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ของปุ๋ยอินทรีย์ให้มีค่าเป็นกลางเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อพืช

กรณีใส่ปุ๋ยเคมี สูตรเร่งการเจริญเติบโตให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ,18-12-6,16-20-0 ผสมด้วย สาร ที-เอส-3000 ในอัตรา สาร ที-เอส-3000 15 ก.ก (1กระสอบ) ปุ๋ยเคมี จำนวน 50 ก.ก (1กระสอบ) หว่านประมาณ 15 -20 ก.ก ต่อไร่ การใส่ปุ๋ยควรใส่ประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง
สูตรเร่งการออกดอก ให้ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ผสมด้วย สาร ที-เอส-3000 ในอัตรา สาร ที-เอส-3000 15 ก.ก (1กระสอบ) ปุ๋ยเคมี จำนวน 50 ก.ก (1กระสอบ) หว่านประมาณ 15 -20 ก.ก ต่อไร่ การใส่ปุ๋ยควรใส่ประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง

วิธีการให้ปุ๋ยและการฉีดพ่นธาตุอาหารทางใบ
หลังจากปลูกได้ประมาณ 20-25 วันหรือให้สังเกตดูต้นพริกมีความพร้อมที่ต้องการปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร15-15-15 ,18-12-6,16-20-0 เลือกใช้สูตรไดสูตรหนึ่ง ผสมด้วย สาร ที-เอส-3000 ในอัตรา สาร ที-เอส-3000 15 ก.ก (1กระสอบ) ปุ๋ยเคมี จำนวน 50 ก.ก (1กระสอบ) หว่านประมาณ 15 -20 ก.ก ต่อไร่ การใส่ปุ๋ยควรใส่ประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง หลังจากหว่านปุ๋ยเรียบร้อยแล้วประมาณ 2-3 วัน ฉีดพ่นทางใบดังนี้

เร่งการเจริญเติบโตทางใบ
ไฮ-แม็ก 20-30 ซีซี + ซุปเปอร์-บีม 20-30 ซีซี + ซุปเปอร์-บีม 3 พลังครึ่งช้อนชา ต่อน้ำ 20 ลิตร
(ตัวเสริม โปรแท็ป 1-2 ขีด)
ประโยชน์ เร่งการเจริญเติบโต แตกกิ่ง แตกทรงพุ่ม สร้างลำต้นให้แข็งแรง ใบใหญ่ ใบหนา สีเข้ม ฉีดพ่นทุก 7-15 วัน ในเวลาเช้าหรือตอนเย็น ในเวลาที่อากาศไม่ร้อนฉีดพ่นไปจนกว่าพริกมีความพร้อมที่จะออกอกให้เปลี่ยนมา ใช้สูตรเร่งดอกดังนี้

สูตรเร่งดอก-บำรุงดอก
ซุปเปอร์-แบม30-40 ซีซี + เอ็ม-เร็ตต้า 3-4 ช้อนแกง
ประโยชน์ สะสมสมแป้ง เร่งการออกดอก บำรุงดอก ลดการหลุดร่วงของดอก ฉีดพ่น 7-15 วัน /ครั้ง

เมื่อ พริกมีความพร้อมที่จะออกดอก ปุ๋ยทางดินให้เปลี่ยนมาใช้สูตร 13-13-21 ผสมด้วย สาร ที-เอส-3000 ในอัตรา สาร ที-เอส-3000 15 ก.ก (1กระสอบ) ปุ๋ยเคมี จำนวน 50 ก.ก (1กระสอบ) หว่านประมาณ 15 -20 ก.ก ต่อไร่ การใส่ปุ๋ยควรใส่ประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง หลังจากหว่านปุ๋ยได้ประมาณ 1-2 วัน ให้ฉีดพ่นด้วย ซุปเปอร์-แบม30-40 ซีซี + เอ็ม-เร็ตต้า 3-4 ช้อนแกง (ตัวเสริม ไฮ-แม็ก 20-30 ซีซี หรือ โปรแท็ป 1-2 ขีด) เพื่อเร่งการออกดอก ทำการรดน้ำใส่ปุ๋ยบำรุงรักษาดูแลไปเรื่อยๆหลังจากเก็บผลผลิตแล้วให้ทำการ บำรุงต้นให้พร้อมที่จะออกดอกรอบต่อไปโดยการฉีดพ่นทางใบ 1 ครั้ง ด้วย ไฮ-แม็ก 20-30 ซีซี + ซุปเปอร์-บีม 20-30 ซีซี + ซุปเปอร์-บีม 3 พลังครึ่งช้อนชา ต่อน้ำ 20 ลิตร (ตัวเสริม โปรแท็ป 1-2 ขีด) เพื่อบำรุงต้นให้มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะออกดอกในรอบต่อไปหลังจากบำรุงต้น เรียบร้อยแล้วให้ฉีดพ่นด้วยสูตรเร่งการออกดอก1-2 ครั้ง ต่อไปหลังจากทำการเก็บผลผลิตแล้วก็ให้ทำการฉีดพ่นเหมือนครั้งแรกสลับกันไป เรื่อย

ประโยชน์ของ การปลูกพริก

1.พริกช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

2. พริกช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วย ป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

3.พริกช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจาก พริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดกแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้ นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก

คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรที นสูงถึง 7 เท่า คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลาย เซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน


4.พริกช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม เกรนลงได้

5.พริกช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟินขึ้น
สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า น้ำ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดีนั่นเอง